หลังจากกระโดดขึ้นรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียกลับจากอิร์คุสก์กันออกมา
ชีวิตบนรถไฟเรียกได้ว่า กินๆนอนๆอย่างเดียว มีเน็ตโผล่มาบ้างเป็นครั้งคราว
ด้วยความที่กินมาม่ากันมาหลายมื้อ
ส่วนตัวเป็นคนชอบกินเนื้อสัตว์ เลยเริ่มไม่รับกับมาม่า
จากเป็นคนพูดเก่ง กลายเป็นคนเงียบขรึม ถึงขนาดซึมเลยทีเดียว
เราเลยตัดสินใจบอกพี่ๆว่าจะไปตู้เสบียงนะ จะไปซื้ออาหาร
เราไม่ไหวแล้ววววว ต้องการอาหารชนิดอื่น
รถไฟสายระยะยาวของรัสเซีย ปกติจะมีตู้เสบียงไว้คอยขายอาหารค่ะ
จริงๆแล้วตู้โบกี้ที่เราเดินทางกัน ก็จะมีป้าผู้ดูแลด้วย
ซึ่งนางก็จะมีของมาขายเหมือนกัน แต่เที่ยวนี้ไม่มีค่าาาา
เที่ยวก่อนตอนเสบียงเต็มนี่ป้าก็มีเต็มเหมือนกัน
หลังจากตัดสินใจเดินไปซื้ออาหารที่ตู้เสบียง
ภายในตู้เสบียง หน้าตาประมาณนี้ |
คือจริงๆแล้วตู้เสบียงบนรถไฟขึ้นชื่อว่าราคาแพงค่ะ คนรัสเซียจึงไม่ค่อยกินกัน
พอไปถึง ป้าเค้าพิจารณาดูสภาพเราแล้วก็ไม่ค่อยอยากจะขาย
นึกว่าเป็นแรงงานมาจากจีนหรือมองโกเลียอะไรประมาณนี้
เราก็ไม่สนใจ สั่งข้าวผัดไข่กับไก่ทอด (ซึ่งมีขายแค่นี้จริงๆ)
พี่ๆและคุคุก็ตัดสินใจกินกับเราด้วย น่ารักจริงๆ
เราเลยบอกป้าว่าเราเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลรัสเซีย เรียน ป.โท อยู่ในรัสเซียเนี่ยแหละ
ปิดเทอมก็เลยมาเที่ยว ไม่ได้มาทำงาน ใช้แรงงาน
ปฏิกิริยาป้าๆในโบกี้จึงดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
คนรัสเซียชอบคิดว่าตัวเองดีกว่าชาวบ้านแบบนี้ประจำ
เราเสียค่าอาหารกันคนละ 300กว่าบาท แพงอยู่
แต่ก็ดีกว่ามาม่าอะนะ 55555555
นั่งกันมา 40 ชั่วโมง เราก็มาถึงเมืองออมสก์
ออมสก์เป็นเมืองที่รัฐบาลรัสเซียส่งเด็กไทยที่ได้รับทุนกันมาเรียน 3 คน
เป็นผู้หญิงหมดเลย พี่ๆเรียนกันที่มหาวิทยาลัยการสอนแห่งเมืองออมสก์
(Омский государственный педагогический университет)
จริงๆก็เป็นรุ่นพี่ที่โครงการรัสเซียศึกษาที่ธรรมศาสตร์ทั้งหมดเลย
จริงๆก็เป็นรุ่นพี่ที่โครงการรัสเซียศึกษาที่ธรรมศาสตร์ทั้งหมดเลย
ก็เลยได้มีพี่ๆพาเที่ยว และช่วงจองที่พักให้ด้วย
เราพักกันที่โฮสเทลของมหาลัยพี่เค้า ซึ่งอารมณ์เหมือนหอนักศึกษาที่เปิดให้เช่าพัก
สภาพโดยรวมก็ดีค่ะ ราคาไม่แพง คืนละ 700 บาท/คน/คืน เอง
ออมสก์เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 รองจากโนโวซิเบียสก์
นับตั้งแต่ผ่านเทือกเขาอูราลมาเลย
และมีขนาดเป็นอันดับ 7 ของประเทศรัสเซียค่ะ
ใช้เวลาในการเดินทางโดยรถไปชายแดนคาซัคสถานเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น
ใกล้กว่าไปมอสโก เมืองหลวงหลายเท่าตัวเลย
สำหรับมหาลัยการสอนแห่งเมืองออมสก์ก็ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลยค่ะ
เข้าที่พักแล้วเราก็รีบอาบน้ำแล้วออกไปหาอะไรกินก่อนเลย
เพราะร่างกายต้องการเนื้อสัตว์ค่ะ อิอิ
ร้านที่เราไปกันอยู่ไม่ไกลจากที่พักค่ะ
เป็นร้านอาหารรัสเซีย เดินดุ่ยๆไปก็ถึง
ชื่อร้าน Ёлки-Палки อ่านว่า โยลกี้ปัลกี้
เป็นคำอุทานแสดงอารมณ์ค่ะ
พบได้หลายสาขาทั่วประเทศรัสเซียเลย
จากนั้นก็มีแรงเดินชมเมืองกันแล้วค่ะ
โบสถ์ใหญ่ใจกลางเมืองที่เราต้องเดินผ่านและเป็นโบสถ์สำคัญใหญ่ที่สุดของเมือง
ชื่อว่า Успенский собор หรือ Assumption Cathedral
ซึ่งสร้างตั้งแต่สมัยพระเจ้าซาร์นิโคลัย (นิโคลัส) เมื่อปี 1891
ในช่วงที่กำลังสร้างทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย
จากนั้นเราก็เดินผ่านที่ทำการของผู้ว่าการรัฐฯ
แน่นอนว่าต้องมีรูปปั้นเลนิน ผู้นำแนวคิดคอมมิวนิสต์
นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นของดอสโตเยฟสกี้ (Fyodor Dostoyevsky)
นักเขียนชื่อดังของรัสเซีย
ที่มีงานเขียนชื่อดังอย่าง อาชญากรรมและการลงทัณฑ์ / พี่น้องคารามาซอฟ ค่ะ
แล้วทำไมถึงมีรูปปั้นนักเขียนท่านนี้อยู่ที่นี่ ก็เพราะว่าในช่วงปี 1849-1854
ถูกซาร์นิโคลัยที่ 1 เนรเทศมาเป็นแรงงานในพื้นที่กันดารในเขตไซบีเรีย
ซึ่งก็คือเมืองออมสก์แห่งนี้นั่นเอง
วันสุดท้ายก็เก็บของ และไปซื้อของตุนเสบียงเตรียมกินบนรถไฟ
ขากลับเป็นขาที่สบายที่สุดในทริป
เพราะนั่งกลับไปเยคาฯเพียงแค่ 8 ชั่วโมงเท่านั้น!!!
จากสถานีรถไฟเมืองเยคาฯ นั่งรถทรอลเลบัสกลับมาที่หอประมาณ 20 นาทีก็ถึง
พอกลับมาถึงหอ จัดการเก็บของ อาบน้ำอาบท่า ก็ถึงเวลากินค่ะ
อากาศหนาวติดลบเกือบ 30 องศา ทำให้ร่างกายต้องการความอบอุ่น
และสุกี้คือคำตอบบบบบ :)
จบทริปทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย บริบูรณ์ค่ะ ^^
ออมสก์เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 รองจากโนโวซิเบียสก์
นับตั้งแต่ผ่านเทือกเขาอูราลมาเลย
และมีขนาดเป็นอันดับ 7 ของประเทศรัสเซียค่ะ
ใช้เวลาในการเดินทางโดยรถไปชายแดนคาซัคสถานเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น
ใกล้กว่าไปมอสโก เมืองหลวงหลายเท่าตัวเลย
สถานีรถไฟเมืองออมสก์ |
สำหรับมหาลัยการสอนแห่งเมืองออมสก์ก็ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลยค่ะ
เข้าที่พักแล้วเราก็รีบอาบน้ำแล้วออกไปหาอะไรกินก่อนเลย
เพราะร่างกายต้องการเนื้อสัตว์ค่ะ อิอิ
ร้านที่เราไปกันอยู่ไม่ไกลจากที่พักค่ะ
เป็นร้านอาหารรัสเซีย เดินดุ่ยๆไปก็ถึง
ชื่อร้าน Ёлки-Палки อ่านว่า โยลกี้ปัลกี้
เป็นคำอุทานแสดงอารมณ์ค่ะ
พบได้หลายสาขาทั่วประเทศรัสเซียเลย
สัญลักษณ์หน้าตาร้านเป็นแบบนี้ |
สลัดซีซาร์แซลมอน |
บาร์บีคิวรัสเซีย (ชัชลึค) |
โบสถ์ใหญ่ใจกลางเมืองที่เราต้องเดินผ่านและเป็นโบสถ์สำคัญใหญ่ที่สุดของเมือง
ชื่อว่า Успенский собор หรือ Assumption Cathedral
ซึ่งสร้างตั้งแต่สมัยพระเจ้าซาร์นิโคลัย (นิโคลัส) เมื่อปี 1891
ในช่วงที่กำลังสร้างทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย
จากนั้นเราก็เดินผ่านที่ทำการของผู้ว่าการรัฐฯ
แน่นอนว่าต้องมีรูปปั้นเลนิน ผู้นำแนวคิดคอมมิวนิสต์
นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นของดอสโตเยฟสกี้ (Fyodor Dostoyevsky)
นักเขียนชื่อดังของรัสเซีย
ที่มีงานเขียนชื่อดังอย่าง อาชญากรรมและการลงทัณฑ์ / พี่น้องคารามาซอฟ ค่ะ
แล้วทำไมถึงมีรูปปั้นนักเขียนท่านนี้อยู่ที่นี่ ก็เพราะว่าในช่วงปี 1849-1854
ถูกซาร์นิโคลัยที่ 1 เนรเทศมาเป็นแรงงานในพื้นที่กันดารในเขตไซบีเรีย
ซึ่งก็คือเมืองออมสก์แห่งนี้นั่นเอง
ส่วนตัวคิดว่าเมืองออมสก์ค่อนข้างเงียบสงบ มีถนนหลักสายใหญ่อยู่หนึ่งสาย
ดูทันสมัยเพราะมีร้านค้าต่างๆ ร้านอาหารอีกมากมาย
แล้วยังมีรูปปั้นหลากหลายให้ถ่ายรูปด้วย อย่างแม่สาวคนนี้
วันแรกวันเดียวก็สามารถเดินครบหมดเมืองแล้วค่ะ
วันที่สองเราเดินไปริมน้ำ ดูโครงสร้างเมืองเก่าที่ยังพอเหลืออยู่
แต่ด้วยความที่อากาศหนาวมากกกก เลยไม่ได้หยิบกล้องมาถ่ายรูปกันเลย
วันที่เหลือจึงหมดไปกับการนั่งคุยกับพี่ๆ ทำอาหารกินข้าวร่วมกันมากกว่า
ลูกโลกอะไรไม่รู้ อันนี้บอกไม่ได้จริงๆ - -" แต่อยู่ริมแม่น้ำออมเลย |
ขากลับเป็นขาที่สบายที่สุดในทริป
เพราะนั่งกลับไปเยคาฯเพียงแค่ 8 ชั่วโมงเท่านั้น!!!
จากสถานีรถไฟเมืองเยคาฯ นั่งรถทรอลเลบัสกลับมาที่หอประมาณ 20 นาทีก็ถึง
พอกลับมาถึงหอ จัดการเก็บของ อาบน้ำอาบท่า ก็ถึงเวลากินค่ะ
อากาศหนาวติดลบเกือบ 30 องศา ทำให้ร่างกายต้องการความอบอุ่น
และสุกี้คือคำตอบบบบบ :)
สุกี้ฝีมือพวกเราเองงงง |
จบทริปทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย บริบูรณ์ค่ะ ^^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น